
ทหารก็เป็นอีกบทบาทอาชีพหนึ่ง ที่ต้องใช้แรงใจ และ แรงกายอันหนักหน่วง ในการทำงาน กองทัพต้องเดินด้วยท้อง เพราะฉะนั้น อาหารจึงเป็นสิ่งสำคัญ เมื่อท้องอิ่มก็มีแรงทำงาน หรือ ปฏิบัติภารกิจใดๆให้ลุล่วง อาหารที่เรากินกันทุกวันนี้ เกิดจากการเสียสละเลือดเนื้อของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เพื่อให้เรามีชีวิตอยู่ต่อ รวมถึง การตากแดดทำงาน หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน ของชาวนา ที่ปลูกข้าวอร่อยๆให้เรากิน เพราะอย่างนี้ เหล่าทหารจึงต้องกินอาหารอย่างรู้คุณค่า
การกินอาหารของทหารแบ่งออกเป็น 3 มื้อ คือ เช้า กลางวัน เย็น โดยต้องยืนต่อแถวนับจำนวนคนก่อนที่จะเข้าโรงเลี้ยง (คำเรียกโรงอาหารของทหาร ) เมื่อเข้าไปแล้ว ก็ต้องนั่งให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ห้ามพูดคุยเด็ดขาด เวลาก่อนจะกินต้องขัดฉาก ซ้ำๆอยู่หลายต่อหลายรอบ จนสิบเวรรู้สึกพอใจ จึงสั่งให้ร้องเพลง ซึ่งเพลงแต่ล่ะหน่วยก็ไม่เหมือนกัน แล้วแต่ว่าหน่วยไหนได้ร้องเพลงอะไร เมื่อร้องเพลงจบจึงต่อด้วยการท่องคำปฏิญาณก่อนรับประทานอาหาร และ ต้องขัดฉากซ้ำอีก 4-5 รอบ จนเมื่อสิบเวร สั่งให้ทานข้าวได้ จึงลงมือทาน การทานอาหารนั้น ต้องกินด้วยความเงียบเชียบ ถ้ามีเสียงแม้แต่นิดเดียว เช่นเสียงช้อนกระทบ หรือ ทำข้าวหกเลอะเทอะ ต้องโดนทำโทษ ถ้าลืมนำช้อนส้อมส่วนตัวมา ก็โดนอีก เวลาลุกตักข้าวหรือจะเอาอาหารเพิ่มต้องขออนุญาตก่อน ถ้าลุกโดยพละการ แน่นอนว่าโดนทำโทษ อีกเช่นเดียวกัน
บนโต๊ะอาหารเป็นถาดหลุม กิน 2 คนต่อ 1 ถาด ส่วนในเรื่องของอาหารที่นำมาให้กินนั้น ทางโรงเลี้ยงใส่ใจมาก อาหารจะต้องสะอาด กินแล้วไม่ปวดท้อง ท้องเสีย อาหารเป็นพิษ อาหารต้องให้พลังงานสูง ทำให้ไม่เป็นอุปสรรคต่อการฝึก
โดยส่วนมากแล้วอาทิตย์แรกที่เข้าไปฝึกยังไม่ค่อยมีคนเจริญมากนัก แต่หลังจากอาทิตย์แรกผ่านไป การซาบซึ้งต่ออาหารมีมากขึ้น กินกันจนอิ่มหมีพีมัน เลยทีเดียว
โดยเฉพาะการกินอาหารของทหารใหม่ นอกจากกินเพื่อให้ท้องอิ่มแล้ว ยังเป็นการฝึกให้มีความอดทน และ ระเบียบวินัย รู้จักควบคุมตนเอง อีกด้วย
บางคนตอนยังไม่เข้าไปฝึกอาจจะกินอาหารแบบทิ้งๆขว้างๆ หรือ กินแบบไม่รู้คุณค่า แต่เมื่อเข้าไปรับการฝึกแล้ว ความคิดก็เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น กินอาหารด้วยความอร่อย เห็นคุณค่า และ ซาบซึ้งกับบุญคุณของอาหาร
การฝึกทหารนั้นอาจจะโหดอย่างที่หลายๆคนว่าไว้ แต่มันก็ช่วยขัดเกลาให้เราเป็นคนที่ดีขึ้น มีระเบียบวินัย กล้าหาญ อดทน เจอปัญหาหรืออุปสรรคใดๆก็สามารถผ่านพ้นไปได้ในทุกสถานการณ์